10 นักเตะที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช และประสบความสำเร็จ

10 นักเตะที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช และประสบความสำเร็จ

ในวงการฟุตบอลระดับโลก หลายๆ คนมักรู้จักนักเตะที่มีความสามารถพิเศษในสนาม แต่สิ่งที่ทำให้บางคนโดดเด่นกว่าคือ นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 นักเตะที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช และสามารถนำทีมคว้าแชมป์และประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ โดยเริ่มตั้งแต่ Zinedine Zidane ที่นำ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ไปจนถึง Franz Beckenbauer ที่คว้า แชมป์ฟุตบอลโลก ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช ความสำเร็จของพวกเขาสามารถสะท้อนให้เห็นถึงทักษะและวิสัยทัศน์ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ทีมแข็งแกร่งในสนาม แต่ยังช่วยปฏิวัติวงการฟุตบอลด้วยแนวคิดและสไตล์การเล่นที่แตกต่างออกไป


10 อันดับ นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช

1. Zinedine Zidane – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช ที่นำเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย

1. Zinedine Zidane – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช ที่นำเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย

ซีเนอดีน ซีดาน คือหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ก่อนจะมาถึงบทบาทโค้ชที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการนำ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกันในปี 2016, 2017 และ 2018

  • เส้นทางจากนักเตะสู่โค้ช: ซีดานเริ่มต้นอาชีพนักเตะที่ บอร์กโดซ์ ก่อนจะสร้างชื่อใน ยูเวนตุส และย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสูงที่สุดในขณะนั้น เขาได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 1998, ยูโร 2000 และ แชมเปียนส์ลีก 2002 ก่อนตัดสินใจเลิกเล่นในปี 2006 หลังจากนั้น เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางโค้ชโดยเริ่มจากการเป็นที่ปรึกษาของเรอัล มาดริด และในปี 2016 ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าโค้ช
  • ความสำเร็จในฐานะโค้ชซ ในฐานะโค้ช ซีดานพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ไม่มีใครเคยทำได้ในยุคปัจจุบัน เขายังนำทีมคว้า ลาลีกา และ โคปา เดล เรย์ อีกด้วย
  • สไตล์การคุมทีมซ ซีดานมีสไตล์การคุมทีมที่เน้นความสมดุลระหว่างการโจมตีและการป้องกัน โดยเขาสามารถจัดการนักเตะระดับโลก เช่น คริสเตียโน โรนัลโด และ ลูก้า โมดริช ได้อย่างยอดเยี่ยม

2. Pep Guardiola – ปฏิวัติวงการฟุตบอลด้วยสไตล์การเล่นของเขาทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

2. Pep Guardiola – ปฏิวัติวงการฟุตบอลด้วยสไตล์การเล่นของเขาทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

Pep Guardiola เป็นโค้ชที่สร้างแรงบันดาลใจด้วย สไตล์การเล่นฟุตบอล ที่โดดเด่น เช่น Tiki-Taka ซึ่งเน้นการครองบอลและการเล่นที่ลื่นไหล จนกลายเป็นต้นแบบให้กับหลายทีมทั่วโลก

  • เส้นทางนักเตะ: Guardiola เริ่มต้นอาชีพนักเตะที่ บาร์เซโลนา และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมภายใต้การคุมทีมของ Johan Cruyff เขาคว้า แชมป์ลาลีกา และ ยูโรเปียนคัพ พร้อมกับการพัฒนาทักษะการเล่นที่เน้นการควบคุมบอลและการเชื่อมโยงเกมอย่างลื่นไหล
  • การปฏิวัติในฐานะโค้ช: หลังจากการเลิกเล่น Guardiola เขาได้ก้าวสู่การคุมทีม บาร์เซโลนา ในปี 2008 และสร้างสไตล์การเล่นที่มีชื่อเสียงในโลกฟุตบอล ด้วยการนำทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยและ ลาลีกา หลายสมัย เขายังนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จมากมายทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ ฟุตบอลถ้วย ด้วยการใช้สไตล์การเล่นที่รวดเร็ว, เน้นครองบอล, และสร้างระบบที่ทำให้ทีมเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • สไตล์การคุมทีม: Guardiola ใช้ ระบบ 4-3-3 ที่เน้นการครองบอลและการทำเกมจากแดนหลัง ซึ่งทำให้ทีมของเขาสามารถครองเกมได้ตลอดเวลาและกดดันคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่การเคลื่อนที่ของผู้เล่นแต่ละคนจะเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

3. Carlo Ancelotti – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ชที่ได้รับการยอมรับในทุกทีมที่เขาคุม

3. Carlo Ancelotti – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ชที่ได้รับการยอมรับในทุกทีมที่เขาคุม

Carlo Ancelotti ถือเป็นหนึ่งในโค้ชที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลระดับโลก เขามีเส้นทางอาชีพที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความสำเร็จ ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช โดยเฉพาะการนำทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยกับ 2 สโมสรใหญ่ อย่าง เอซี มิลาน และ เรอัล มาดริด

  • เส้นทางในฐานะนักเตะ: Ancelotti เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับ ปาร์ม่า ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับ เอซี มิลาน และประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะมิดฟิลด์ โดยได้แชมป์ เซเรียอา และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในช่วงที่เขาเล่นกับมิลาน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญของทีมชาติอิตาลีในการคว้า แชมป์โลก 1982
  • ความสำเร็จในฐานะโค้ช: หลังจากเลิกเล่น Ancelotti ก็ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นโค้ช โดยเริ่มต้นที่ ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน ก่อนจะย้ายไปคุมทีมระดับท็อปอื่น ๆ อย่าง เชลซี, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ เรอัล มาดริด ในทุกทีมที่เขาคุม Ancelotti มักจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของทีมและประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะโค้ช Ancelotti คว้า ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย (2 ครั้งกับมิลาน และ 1 ครั้งกับเรอัล มาดริด) และยังได้แชมป์ลีกในประเทศต่าง ๆ เช่น พรีเมียร์ลีก กับเชลซี และ ลีกเอิง กับปารีสแซงต์-แชร์กแมง
  • สไตล์การคุมทีม: Ancelotti เป็นโค้ชที่มีสไตล์การคุมทีมที่ยืดหยุ่น เขามักจะเลือกใช้ระบบการเล่นที่เหมาะสมกับผู้เล่นในทีมและสถานการณ์ของการแข่งขัน เช่น การใช้ 4-3-3 หรือ 4-4-2 ขึ้นอยู่กับแต่ละเกมและจุดแข็งของนักเตะที่มี นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักในด้าน การจัดการทีมที่มีความหลากหลาย สามารถทำให้ผู้เล่นทุกคนทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Diego Simeone – สร้างสรรค์ทีมแอตเลติโก มาดริดให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

4. Diego Simeone – สร้างสรรค์ทีมแอตเลติโก มาดริดให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

Diego Simeone คือหนึ่งในโค้ชที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการฟุตบอลปัจจุบัน โดยเฉพาะการนำ แอตเลติโก มาดริด กลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและโลก ความสำเร็จของ Simeone ในการเปลี่ยนแปลงทีมจากการเป็นทีมที่อาจจะไม่ถูกมองข้ามมาเป็นทีมที่มีความสามารถในการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ของยุโรปได้อย่างเต็มภาคภูมิ

  • เส้นทางก่อนเป็นโค้ช: ก่อนจะก้าวเข้าสู่การเป็นโค้ช, Diego Simeone มีอาชีพนักเตะที่ประสบความสำเร็จในหลายสโมสรทั้งในอาร์เจนตินาและยุโรป โดยเฉพาะกับ อินเตอร์ มิลาน และ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเริ่มสร้างชื่อในฐานะกองกลางตัวรับที่มีความสามารถในการทำลายเกมและเป็นผู้นำในสนาม หลังจากเลิกเล่นในปี 2006, Simeone ตัดสินใจเข้าสู่วงการโค้ชโดยเริ่มต้นจากการคุมทีมในบ้านเกิดอย่าง ราซิง คลับ และ เซบีย่า ก่อนที่จะย้ายมาคุมแอตเลติโก มาดริดในปี 2011
  • การปฏิวัติแอตเลติโก มาดริด: เมื่อ Simeone เข้ามาคุมแอตเลติโก มาดริด เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมให้มีความแข็งแกร่งและมีระบบการเล่นที่มีระเบียบและวินัย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของทีมภายใต้การคุมของเขา ระบบการเล่นของ Simeone เน้นการป้องกันที่แข็งแกร่งและการสวนกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้แอตเลติโก มาดริดกลายเป็นทีมที่ยากจะรับมือ
  • ความสำเร็จของ Simeone: ภายใต้การคุมทีมของ Simeone, แอตเลติโก มาดริดประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะการคว้า ลาลีกา ในปี 2014 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี และการนำทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 ครั้งในปี 2014 และ 2016 ถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการแข่งขันกับทีมใหญ่ของ Simeone Simeone ยังพาทีมคว้า โคปา เดล เรย์ และ ซูเปอร์คัพ สเปน อีกทั้งยังพาทีมแอตเลติโกเป็นหนึ่งในทีมที่มีสถิติการป้องกันที่ดีที่สุดในลีกยุโรป
  • สไตล์การคุมทีม: Simeone ใช้ระบบการเล่นที่เน้นความแข็งแกร่งในการป้องกันและการทำเกมจากการสวนกลับอย่างรวดเร็ว 4-4-2 คือระบบหลักที่เขาใช้ แต่สิ่งที่ทำให้สไตล์การเล่นของ Simeone โดดเด่นคือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเตะทุกคนในทีมเพื่อเล่นด้วยความทุ่มเทและมีวินัย การสร้างทีมที่มีความกลมเกลียว และการไม่ยอมแพ้แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากคือเอกลักษณ์สำคัญของ Simeone ซึ่งทำให้แอตเลติโก มาดริดกลายเป็นทีมที่มีความมุ่งมั่นและต่อสู้จนถึงที่สุด

5. Johan Cruyff – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช ช่วยบาร์เซโลน่ากลับมาครองความสำเร็จ

5. Johan Cruyff – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช ช่วยบาร์เซโลน่ากลับมาครองความสำเร็จ

Johan Cruyff เป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล และเขาไม่เพียงแค่เป็นนักเตะที่มีความสามารถเหนือชั้น แต่ยังเป็นโค้ชที่มีวิสัยทัศน์ในการสร้างการปฏิวัติฟุตบอลที่ บาร์เซโลนา ซึ่งทำให้ทีมกลับมาครองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในยุโรปและสเปน

  • การเป็นนักเตะและการเปลี่ยนแปลงในฐานะโค้ช: Cruyff เริ่มต้นอาชีพนักเตะที่ อาแจ็กซ์ ในฮอลแลนด์และมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในทีมชาติเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะใน ฟุตบอลโลก 1974 ที่เขานำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ และสร้างสไตล์การเล่นที่ถูกเรียกว่า “Total Football” ซึ่งเน้นการเคลื่อนที่ของผู้เล่นทุกคนและการครองบอลอย่างมีระเบียบ หลังจากเลิกเล่น,Cruyff กลายเป็นโค้ชที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะในบทบาทโค้ชของ บาร์เซโลนา ซึ่งเขาเข้ามาคุมทีมในปี 1988 และเปลี่ยนแปลงสโมสรไปตลอดกาล
  • การปฏิวัติฟุตบอลบาร์เซโลนา: ในฐานะโค้ชของบาร์เซโลนา Cruyff ได้นำเสนอ สไตล์การเล่นที่เน้นการครองบอลและการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นลักษณะเด่นของทีมตลอดไป เขาส่งเสริมการเล่นในรูปแบบที่เรียกว่า “Tiki-Taka” ซึ่งเน้นการต่อบอลอย่างแม่นยำและการเคลื่อนที่ของผู้เล่นเพื่อสร้างช่องว่างในแนวรับของคู่แข่ง
  • ความสำเร็จในฐานะโค้ช: Cruyff พาบาร์เซโลนา คว้าแชมป์ลีกสเปน ในปี 1991 และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรในปี 1992 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของทีม สไตล์การเล่นของเขาสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับบาร์เซโลนา และได้กลายเป็นแนวทางที่หลายๆ ทีมในยุโรปนำไปใช้
  • สไตล์การคุมทีมและความมุ่งมั่น: การคุมทีมของ Cruyff ไม่ได้เน้นแค่ความสำเร็จในผลการแข่งขัน แต่ยังเน้นที่การพัฒนาสไตล์การเล่นที่มีเอกลักษณ์และสามารถทำให้ผู้เล่นทุกคนในทีมมีบทบาทในการสร้างเกม การเล่นฟุตบอลที่ สวยงามและสร้างสรรค์ เป็นหลักการที่เขายึดมั่นในการทำงานกับบาร์เซโลนา

6. Vicente del Bosque – ผู้พาทีมชาติสเปนคว้าแชมป์โลก 2010

6. Vicente del Bosque – ผู้พาทีมชาติสเปนคว้าแชมป์โลก 2010

Vicente del Bosque คือหนึ่งในโค้ชที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการฟุตบอลสเปนและยุโรป เขาเป็นผู้พาทีมชาติ สเปน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ การบรรลุเป้าหมายนี้เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์และความสามารถในการจัดการทีมของ del Bosque ที่ทำให้ทีมชาติสเปนกลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

  • เส้นทางของ Vicente del Bosque: ก่อนที่จะกลายมาเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับทีมชาติ del Bosque ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะและโค้ชกับ เรอัล มาดริด โดยเขาเป็นส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และ ลาลีกา หลายสมัยในฐานะโค้ชของทีม ต่อมาในปี 2008, del Bosque ได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชของ ทีมชาติสเปน หลังจาก หลุยส์ อาร์กีลส์ ลาออก
  • การพาทีมชาติสเปนคว้าแชมป์โลก 2010: ภายใต้การคุมทีมของ del Bosque, สเปนได้สร้างผลงานที่น่าจดจำใน ฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ หลังจากเริ่มต้นด้วยการพ่ายแพ้ในนัดแรกต่อ สวิตเซอร์แลนด์ แต่หลังจากนั้น สเปนกลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ ด้วยการเล่นที่เน้นการครองบอลและการสร้างเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ ทีมชาติสเปนเอาชนะ เนเธอร์แลนด์ ในรอบชิงชนะเลิศด้วยคะแนน 1-0 จากประตูของ อันเดรส อิเนียสตา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
  • สไตล์การคุมทีมของ del Bosque: Del Bosque นำ ปรัชญาการเล่นที่เรียกว่า “Tiki-Taka” มาใช้ในการคุมทีมชาติสเปน ซึ่งเป็นการเน้นการครองบอล, การส่งบอลที่แม่นยำ และการเคลื่อนที่ของผู้เล่นอย่างมีระเบียบ เขาสามารถทำให้ทีมชาติสเปนเล่นฟุตบอลที่สวยงามและมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถคุมทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกอย่าง เซร์คิโอ รามอส, ดาบิด ซิลบา, ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสตา ได้อย่างสมดุลและประสบความสำเร็จ
  • ความสำเร็จอื่นๆ: นอกจาก แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 แล้ว Del Bosque ยังพาทีมชาติสเปนคว้า ยูโร 2008 และ ยูโร 2012 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในโค้ชที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการฟุตบอลระดับนานาชาติ การคว้าแชมป์สามรายการใหญ่ในช่วงเวลาอันสั้นทำให้เขากลายเป็นตำนานในวงการฟุตบอล

7. Mario Zagallo – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช คนเดียวที่คว้าแชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

7. Mario Zagallo – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช คนเดียวที่คว้าแชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

Mario Zagallo คือหนึ่งในตำนานของวงการฟุตบอลโลก ที่ถือเป็นบุคคลที่มีความสำเร็จทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช โดยเฉพาะการเป็น คนเดียวในประวัติศาสตร์ฟุตบอลที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช ซึ่งความสำเร็จนี้ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอล

  • เส้นทางในฐานะนักเตะ: Zagallo เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับ ฟลาเมงโก ในบราซิล ก่อนที่จะกลายเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมชาติบราซิลในช่วงปี 1958 และ 1962 ซึ่งเขาเป็นส่วนสำคัญในทีมที่คว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1958 และ 1962 โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 1958 ที่บราซิลได้แชมป์โลกครั้งแรก โดยมี เปเล่ เป็นนักเตะสำคัญ
  • การเป็นโค้ชและการคว้าแชมป์โลก 1970: หลังจากเลิกเล่นในปี 1968, Zagallo หันมาเอาดีในสายงานโค้ชและได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมชาติบราซิลในปี 1970 ในฐานะโค้ช, เขาได้นำทีมชาติบราซิลคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1970 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา โดยมีทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก เช่น เปเล่, การี คาร์ลอส, และ โตสเตา ที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ให้บราซิล ความสำเร็จในการคว้าแชมป์โลก 1970 ทำให้ Zagallo กลายเป็น โค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาและวงการฟุตบอลบราซิล
  • การปฏิวัติฟุตบอลบราซิลและโลก: ในฐานะโค้ช, Zagallo ไม่เพียงแต่พาทีมคว้าแชมป์โลก 1970 แต่ยังเป็นผู้ที่สร้างสไตล์การเล่นที่มีความผสมผสานระหว่างเทคนิคสูงและการทำเกมที่รวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมชาติบราซิลและฟุตบอลโลกในยุคถัดมา การเล่นของบราซิลในปี 1970 ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

8. Kenny Dalglish – สร้างความสำเร็จให้กับลิเวอร์พูลและแบล็คเบิร์น

8. Kenny Dalglish – สร้างความสำเร็จให้กับลิเวอร์พูลและแบล็คเบิร์น

Kenny Dalglish คือหนึ่งในตำนานนักเตะและโค้ชที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ เขามีความสำเร็จที่โดดเด่นทั้งในฐานะนักเตะกับ ลิเวอร์พูล และในฐานะโค้ชกับทั้ง ลิเวอร์พูล และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการฟุตบอลอังกฤษและยุโรป

  • เส้นทางนักเตะที่โดดเด่นกับลิเวอร์พูล: Dalglish เริ่มต้นอาชีพนักเตะที่ เซลติก ในสกอตแลนด์ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับการยอมรับในระดับโลก ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม ลิเวอร์พูล ในปี 1977 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติในขณะนั้น เขากลายเป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของลิเวอร์พูลและพาทีมคว้า แชมป์ลีก และ ยูโรเปียนคัพ หลายสมัย
  • การเปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช: หลังจากที่เลิกเล่นในปี 1990, Dalglish หันมาเอาดีในสายงานโค้ชและได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ในปี 1985 การคุมทีมของเขาในฐานะโค้ชของลิเวอร์พูลได้สร้างความสำเร็จอย่างมาก โดยพาทีมคว้า แชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ ในช่วงปี 1980s และช่วงต้นปี 1990 ซึ่งทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในโค้ชที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล
  • สร้างความสำเร็จให้กับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส: หลังจากการออกจากลิเวอร์พูลในปี 1991, Dalglish ย้ายไปคุม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 1995 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทีมกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ Dalglish สามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งและพาทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ในปี 1995 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของแบล็คเบิร์นในรอบ 81 ปี ความสำเร็จนี้ถือเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถในการสร้างทีมและทำให้ Dalglish กลายเป็นหนึ่งในโค้ชที่ยิ่งใหญ่ของพรีเมียร์ลีก

9. Didier Deschamps – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก 2018

9. Didier Deschamps – นักเตะที่เปลี่ยนมาเป็นโค้ช พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก 2018

Didier Deschamps คือหนึ่งในโค้ชที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลโลก เขาคือผู้ที่พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์โลกครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส และทำให้เขากลายเป็นตำนานในวงการฟุตบอลทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

  • เส้นทางอาชีพนักเตะ: ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ Deschamps ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะที่มีทักษะและความเป็นผู้นำสูง เขาเริ่มต้นอาชีพที่ นีซ ก่อนจะย้ายไป มาร์เซย์ และ ยูเวนตุส ซึ่งเป็นช่วงที่เขาคว้าความสำเร็จในลีกและการแข่งขันระดับทวีป Deschamps เป็นกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสในการคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1998 และ ยูโร 2000 ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในเกมกลางสนาม การเล่นที่มีความแข็งแกร่งและการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยมทำให้เขากลายเป็นกองกลางตัวรับที่สำคัญของทีมชาติฝรั่งเศสในยุคทอง
  • การเป็นโค้ชและการพาฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก 2018: หลังจากการเลิกเล่นในปี 2001, Deschamps ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สายงานโค้ช เขาเริ่มต้นการคุมทีมกับ โมนาโก ก่อนที่จะพา ยูเวนตุส กลับสู่ เซเรีย อา หลังจากนั้น เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชของทีมชาติฝรั่งเศสในปี 2012 ภายใต้การคุมทีมของ Deschamps, ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2018 เขาได้นำทีมชาติฝรั่งเศสคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย หลังจากเอาชนะ โครเอเชีย 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ การคว้าแชมป์โลกครั้งนี้ทำให้ Deschamps กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช
  • สไตล์การคุมทีมของ Deschamps: Deschamps เน้นการสร้างทีมที่มีความแข็งแกร่งทั้งในเชิงรุกและรับ การใช้ระบบ 4-3-3 และ 4-4-2 เป็นหลัก เขาเน้นการใช้ นักเตะที่มีความสมดุล ในแต่ละตำแหน่ง โดยไม่เพียงแค่มีนักเตะที่เก่ง แต่ยังต้องมีการเล่นที่เชื่อมโยงกันได้อย่างดี ความแข็งแกร่งในแนวรับและการโต้กลับที่เร็วของฝรั่งเศสทำให้ทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ Deschamps ยังมีความสามารถในการจัดการทีมที่มีนักเตะดาวรุ่งมากมาย เช่น คีเลียน เอ็มบัปเป้, อองตวน กรีซมันน์ และ ปอล ปอกบา ซึ่งเขาสามารถให้ทุกคนทำงานร่วมกันและทำให้ทีมมีความเป็นหนึ่งเดียว

10. Franz Beckenbauer – อัจฉริยะทั้งในสนามและในฐานะโค้ช

10. Franz Beckenbauer – อัจฉริยะทั้งในสนามและในฐานะโค้ช

Franz Beckenbauer คือหนึ่งในบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล ไม่เพียงแค่ในฐานะนักเตะที่มีฝีเท้าอันยอดเยี่ยม แต่ยังสร้างผลงานอันน่าประทับใจในฐานะโค้ช ด้วยการนำ เยอรมนีตะวันตก คว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1974 ในฐานะนักเตะและ แชมป์ฟุตบอลโลก 1990 ในฐานะโค้ช ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช

  • เส้นทางนักเตะที่โดดเด่น: Beckenbauer เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1959 และกลายเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมอย่างรวดเร็ว เขาถือเป็นผู้บุกเบิกการเล่นในตำแหน่ง ลิเบอโร่ หรือที่เรียกว่า “Sweeper” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เน้นการคุมเกมในแนวรับและเป็นผู้เริ่มต้นการโจมตีจากด้านหลัง เขามีทักษะในการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ทั้งในการป้องกันและการสร้างสรรค์เกมได้อย่างสมดุล Beckenbauer นำ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) 3 สมัยติดต่อกันในปี 1974, 1975 และ 1976 และยังเป็นผู้นำทีม เยอรมนีตะวันตก คว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1974 โดยการเล่นในตำแหน่งกัปตันทีม ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมชาติและสโมสร
  • การเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ
  • หลังจากเลิกเล่นในปี 1977, Beckenbauer หันมาเอาดีในสายงานโค้ชและได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชของ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1986 เขานำทีมคว้า แชมป์บุนเดสลีกา และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปี 2001 หลังจากนั้น Beckenbauer ยังได้รับการแต่งตั้งเป็น โค้ชทีมชาติเยอรมนี และพาทีมคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ซึ่งเขาเป็นผู้พาทีมชาติ เยอรมนีตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในฐานะโค้ช การคว้าแชมป์โลก 1990 ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพการคุมทีมของ Beckenbauer โดยทีมชาติ เยอรมนีตะวันตก ที่เขาคุมได้แสดงให้เห็นถึงความมีระเบียบในการเล่นและความแข็งแกร่งทั้งในแนวรุกและรับ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และการจัดการทีมที่ยอดเยี่ยมของ Beckenbauer
  • สไตล์การคุมทีมของ Beckenbauer: ในฐานะโค้ช Beckenbauer เน้นการสร้างทีมที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ เขามีความเชี่ยวชาญในการจัดระเบียบการเล่นทั้งในด้านเกมรับและการโจมตี ซึ่งสไตล์การเล่นของเขานั้นมีการใช้ระบบที่สมดุลและเน้นการควบคุมเกม Beckenbauer ยังเป็นที่รู้จักในฐานะโค้ชที่สามารถดึงศักยภาพจากนักเตะได้อย่างเต็มที่ โดยไม่เพียงแต่เน้นแค่การพัฒนาทักษะในสนาม แต่ยังคำนึงถึงการพัฒนาจิตวิญญาณของนักเตะให้มีความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม

สรุปได้ว่า การเปลี่ยนบทบาทจากนักเตะที่มีชื่อเสียงมาเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จากตัวอย่างของ 10 นักเตะที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช เหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่า พวกเขาสามารถนำประสบการณ์จากการเล่นฟุตบอลมาปรับใช้ในการคุมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ความสำเร็จของ Zinedine Zidane, Pep Guardiola, Carlo Ancelotti, Diego Simeone, Johan Cruyff, Vicente del Bosque, Mario Zagallo, Kenny Dalglish, Didier Deschamps, และ Franz Beckenbauer ไม่เพียงแค่การคว้าแชมป์ระดับสโมสรและทีมชาติ แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและมรดกที่ยั่งยืนให้กับวงการฟุตบอล การเปลี่ยนบทบาทจากนักเตะสู่โค้ชของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการนำวิสัยทัศน์และความสามารถมาสู่การพัฒนาเกมในระดับใหม่ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงและสร้างประวัติศาสตร์ในวงการฟุตบอล


คำถามที่พบบ่อย

1. นักเตะคนใดที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ชและประสบความสำเร็จมากที่สุด?

การเปลี่ยนบทบาทจากนักเตะสู่โค้ชที่ประสบความสำเร็จมีหลายตัวอย่างที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะ Zinedine Zidane ที่นำ เรอัล มาดริด คว้า ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน และ Pep Guardiola ที่เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลด้วยสไตล์ Tiki-Taka ที่เขาพัฒนาและนำไปใช้ในการคุมทีม บาร์เซโลนา และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์มากมาย

2. อะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักเตะที่กลายมาเป็นโค้ชประสบความสำเร็จ?

ปัจจัยสำคัญคือ ประสบการณ์ในสนาม และ วิสัยทัศน์ ที่พวกเขาได้รับในฐานะนักเตะ การที่พวกเขาเข้าใจเกมอย่างลึกซึ้งทั้งในแง่ของการเล่นและการจัดการทีมช่วยให้พวกเขาสามารถนำแนวคิดที่ได้เรียนรู้มาพัฒนาทีมในฐานะโค้ชได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการ จัดการทีม และ สร้างแรงบันดาลใจ ให้กับนักเตะในทีมที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ

3. ทำไมการคว้าแชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ชถึงเป็นเรื่องที่พิเศษ?

การคว้าแชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ชเป็นความสำเร็จที่ยากมากที่จะทำได้ในวงการฟุตบอล เพราะไม่เพียงแค่ต้องมีทักษะในการเล่น แต่ยังต้องมีความเข้าใจในเกมอย่างลึกซึ้งและสามารถนำทีมไปสู่ชัยชนะในระดับที่สูงที่สุด เช่น Mario Zagallo ที่ทำได้ทั้งในปี 1958, 1962 (ในฐานะนักเตะ) และ 1970 (ในฐานะโค้ช) รวมถึง Franz Beckenbauer ที่คว้าแชมป์โลกทั้งในฐานะนักเตะและโค้ชเช่นกัน

4. นักเตะคนใดที่สามารถนำทีมสโมสรและทีมชาติคว้าแชมป์ใหญ่ได้ทั้งในฐานะโค้ชและนักเตะ?

Carlo Ancelotti คือหนึ่งในนักเตะและโค้ชที่มีความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เขาคว้า ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยในฐานะโค้ชกับ เอซี มิลาน และ เรอัล มาดริด และยังประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะกับ เอซี มิลาน โดยได้รับแชมป์ เซเรียอา และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มากมาย